Search

ปรัชญากฎหมายไทยหลังการปฏิรูปกฎหมายการเมืองการปกครอ...

  • Share this:

ปรัชญากฎหมายไทยหลังการปฏิรูปกฎหมายการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5และกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์

ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ภาระกิจการปฏิรูปสังคมก็ได้รับการสืบสานต่อจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5ป (พระราชโอรส) สนธิสัญญาเบาว์ริ่งยังคงเป็นเหตุปัจจัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้เข้าสู่แบบวิถีสังคมสมัยใหม่แบบตะวันตก ขณะเดียวกันควบคู่กับแผนการปฏิรูปสังคม (ปฏิรูปการปกครอง) ให้เป็นแบบสมัยใหม่ (Modernization) การรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง (Centralization) และโดยเฉพาะการปฏิรูปกฎหมาย นับเนื่องจากปรัชญากฎหมายไทยแบบเดิมที่อิงอยู่กับพระธรรมศาสตร์หรือปรัชญาอินเดียโบราณ ได้ประสบการณ์เสื่อมถอยเป็นอย่างมาก หลังจากที่ประสบการณ์ปรับเปลี่ยนตัวมาแล้วระลอกหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4
จุดสำคัญยิ่งคือพร้อม ๆ กับเสื่อมถอยของปรัชญากฎหมายเดิม ปรัชญากฎหมายตะวันตกก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นเคียงคู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางสังคมที่รัฐกำลังเน้นความทันสมัยและการรวมศูนย์อำนาจ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กระบวบการสร้างทันสมัยและดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง รัฐหรือองค์พระมหากษัตริย์ได้สร้างเงื่อนไขที่สนับสนุนการรับหรือนำเข้ามาซึ่งปรัชญากฎหมายตะวันตก
การต่อสู้และความสำเร็จในรื้อฟื้นหรือรวมศูนย์อำนาจทำให้ยุคสมัยของรัชกาลที่ 5 ได้รับการเรียกขานให้เป็นยุคแห่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันแท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอันสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในรัฐไทย จนอาจเรียกรัฐยุคนี้ว่า“รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์” (Absolutist State)
น่าสนใจที่ภายใต้กระบวนการต่อสู้ทางการเมืองภายในที่พยายามเปลี่ยนแปลงความไม่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันแท้จริง ได้สร้างผลกระทบต่อปรัชญากฎหมายไทย ขณะเดียวกันบนพื้นฐานของความสำเร็จในการสร้างสมบูรณาญาสิทธิและการปฏิรูประบบหรือสถาบันกฎหมายก็ได้นำไปสู่การรับหรือการนำเข้ามา (Reception) ซึ่งความคิดทางกฎหมายตะวันตกในแง่หลักกฎหมายโดยเฉพาะปรัชญากฎหมาย “แบบปฏิฐานนิยม”
(Legal Positivism) ของตะวันตก
1.การก่อตัวของปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในสังคมไทย
การกำเนิดแห่งปรัชญากฎหมายปฏิฐานนิยมในช่วงปฏิรูปของการปกครองไทยมีเหตุปัจจัยเกี่ยวข้องหลายประการ อีกทั้งเหตุปัจจัยนั้นยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างละเอียดอ่อน นับเนื่องจากเหตุปัจจัยด้านการคุกคามของตะวันตกต่อเอกราชของชาติ อิทธิพลของวัฒนธรรมความคิดตะวันตกจึงแพร่หลายในกลุ่มชนชั้นนำ อันรวมทั้งความคิดสมัยใหม่แบบวิทยาศาสตร์นิยมหรือปฏิฐานนิยม (Positivism) (ซึ่งนักคิดปฏิฐานนิยมที่มีอิทธิพลขณะนั้น คือ เจอเรมี เบนแธม หรือ จอห์น ออสติน) การต่อสู้ภายในเพื่อสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิและที่สำคัญคือการปฏิรูปกฎหมายเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องระบบกฎหมายไทย เพื่อต้องการสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางการศาลคืนมา จากการที่ได้ลงนามทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับอังกฤษด้วยเหตุผลที่ว่ากฎหมายไทยในสมัยนั้นป่าเถื่อน ล้าสมัย เช่น การพิสูจน์ด้วยการดำน้ำ การลุยไฟ เป็นต้น ดังนั้นคนอังกฤษเข้ามาอยู่ในไทย กระทำความผิดในไทยให้ขึ้นศาลอังกฤษ (ซึ่งมาตั้งอยู่ในไทย) เท่ากับว่าไทยยอมสละสิทธินี้เรียกว่าสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาล กลายเป็นแม่แบบที่ประเทศอื่นๆได้ทำสนธิสัญญากันอย่างรวดเร็วรวมอังกฤษด้วยกัน 15 ประเทศ ประกอบด้วย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก โปรตุเกส เนเธอแลนด์ เยอรมนี สวีเดน นอร์เว เบลเยี่ยม อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี สเปน รัสเซียและญี่ปุ่น
เนื้อหาของการปฏิรูปกฎหมายประกอบทั้งการจัดระเบียบศาลให้เป็นแบบตะวันตกโดยการตั้งกระทรวงยุติธรรม การจัดและเลือกระบบกฎหมายแบบจำลองตะวันตก ซึ่งจะสืบเนื่องไปถึงการชำระสะสางกฎหมายโดยยกร่างตัวบทหรือประมวลกฎหมายสมัยที่สำคัญอีกประการ คือ การสร้างโรงเรียนกฎหมายเพื่อสอนนักกฎหมายที่สามารถใช้กฎหมายในระบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อพิจารณารายละเอียดของการปฏิรูประบบกฎหมายที่นับว่ามีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน น่าจะมาจากปัญหาของการปฏิรูประบบกฎหมายไทย อยู่ 2 ประการ คือ ปัญหาอันเกี่ยวกับการขาดแคลนบุคคลทำงานในระบบกฎหมายใหม่กับปัญหาจากการยินยอมจากรัฐบาลต่างประเทศ ดังนี้
1. ปัญหาอันเกี่ยวกับการขาดแคลนบุคคลทำงาน
ประเด็นนี้น่าจะถือเป็นมูลเหตุอันสำคัญหนึ่งที่นำไปสู่การ “นำเข้า” ปรัชญากฎหมายตะวันตกแบบปฏิฐานนิยม เป็นอุปสรรคในด้านกำลังคนทำให้เกิดความจำเป็นในการจ้างนักกฎหมายต่างประเทศเข้ามาทำงาน และที่สำคัญคือ การส่งนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ โดยจำเพาะในช่วงแรก ๆ รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้พระราชโอรสส่วนมากไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ จากจุดนี้เองที่นักปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีอิทธิพลในแวดวงนิติศาสตร์ของอังกฤษ (English Jurisprudence) ได้มีโอกาสข้ามน้ำข้ามทะเลมาปรากฏในประเทศไทย โดยผ่านทางนักเรียนไทยรุ่นแรกที่ออกไปศึกษาในประเทศอังกฤษ
2. ปัญหาจากการยินยอมจากรัฐบาลต่างประเทศ
เนื่องจากในสมัยนั้นการออกกฎหมายในส่วนที่ใช้บังคับชาวต่างประเทศ จำเป็นที่ต้องให้รัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องด้วยยินยอม (เพราะเราสูญเสียสิทธินอกอาณาเขตทางศาลอยู่ ประเทศที่อยู่เหนือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาล จึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในการยกร่างกฎหมายด้วย)
2.ความคิดทางปรัชญากฎหมายของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
จากการที่รัชกาลที่ 5 ได้ส่งบุตร คือ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์) ไปศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ ได้รับแนวคิดปรัชญากฎหมายปฏิฐานิยม ของ จอห์น ออสติน (John Austin) มาใช้และมาสอนในโรงเรียนสอนกฎหมายของไทย ซึ่งในเล็คเชอร์ว่าด้วยกฎหมายของพระองค์ได้ยืนยันว่า กฎหมายนั้น คือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามธรรมดาต้องลงโทษ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำกล่าวเช่นนี้ค่อนข้างจะยืนยันในทฤษฎีปฏิฐานนิยม ตามแนวความคิดของจอห์น ออสติน ที่ถือว่า “กฎหมายเป็นคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์”
แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังได้กล่าวต่อไปว่า “อนึ่งคำอธิบายกฎหมายที่ว่ามาแล้วเพราะยังมีที่ติ” หรือในหนังสือคำอธิบายกฎหมายได้กล่าวไว้ว่า “คำอธิบายที่ได้ว่ามานั้นก็ไม่สู้ดีนักด้วยเหตุว่าไม่ตรงแก่ความจริงหลายประการ”
ข้อบกพร่องดังกล่าวเช่น
1. พระองค์เห็นว่าทฤษฎีนี้ มองข้ามสิ่งที่เป็นจารีตประเพณีในเ ล็คเชอร์ ว่าด้วยกฎหมาย
กล่าวว่า “ธรรมเนียมที่ได้ทำกันมาฤาที่เรียกว่า ธรรมเนียมซึ่งในเวลาไม่มีแบบ ทำให้ศาลเห็นทางในการวินิจฉัยความเหนือว่ากฎหมายบทหนึ่ง……”
2. ทฤษฎีนี้มองข้ามกฎหมายธรรมดา พระองค์ทรงแบ่งกฎหมายเป็น “กฎหมายแท้” หรือ “ข้อบังคับแท้” อันหมายถึงกฎหมายทั่วไปที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในรูปคำสั่งของรัฐและอีกส่วนหนึ่งคือ “กฎหมายธรรมดา”
กฎหมายธรรมดา นั้นพระองค์ได้กล่าวว่า “ที่ไม่ได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ฤาไม่ได้เป็นคำสั่งด้วยวาจาของผู้มีอำนาจ แต่ที่นับว่าเป็นกฎหมายเพราะเหตุว่าความสันนิษฐานในวิชากฎหมายนั้นตีเสียว่ามีแบบแผนในการที่เกิดขึ้นในทุกเรื่องทุกชนิด ในเรื่องใดที่ไม่มีกฎหมายเป็นอักษรก็ต้องวินิจฉัยตามกฎหมายธรรมดายกขึ้นใช้ไม่ผิดกับกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร และกฎหมายธรรมชาตินั้นก็คือความประพฤติหรือแบบที่นิยมกันในฝูงชนต่าง ๆ ในโลกนี้หรือจะกล่าวเพื่อที่จะให้เป็นการจริงกว่านี้ว่าศาลคิดเทียบตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์จะให้คำข้อบังคับอื่น ๆ เป็นการเดินสะดวกต่อบ้านเมือง”
ข้อสังเกต การมองในแง่การตีความหมาย “กฎหมายธรรมดา” (กดธรรมดา) น่าจะหมายถึงกฎหมาย Common Law ในจารีตกฎหมายของอังกฤษซึ่งในระดับสำคัญมีความเชื่อมโยงด้านอิทธิพลทางความคิดหรือมีลักษณะคล้ายหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ (Jus Naturale) ที่ใช้กันอยู่นานนับแต่ครั้งสมัยโรมัน
โดยสรุป “กฎหมายธรรมชาติ” เป็นกฎหมายที่แตกต่างจาก “กฎหมายแท้” หรือ
“กฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น” เพราะกฎหมายธรรมชาติไม่ได้เป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจ แต่เป็นสิ่งที่นำมาใช้ในการตัดสินคดี เรื่องใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรก็ต้องวินิจฉัยตามกฎหมายธรรมชาติ เพราะกฎหมายธรรมชาติ คือ ความประพฤติหรือแบบแผนที่นิยมกันในฝูงชนต่าง ๆ
3. การไม่ยอมรับความยุติธรรมที่นำมาเป็นบทตัดสินคดีในความเป็นจริงทฤษฎีนี้ไม่
ยอมรับความยุติธรรม พระองค์มองว่าในความจริงแล้วต้องอ้างหลักยุติธรรม แต่ว่ามิใช่จะอ้างความยุติธรรมพร่ำเพรื่อ เหตุเพราะความยุติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ดังคำกล่าวใน “คำอธิบายศึกษากฎหมาย“ (ความจริง) เป็นการเลื่อนลอยด้วยเหตุว่ายุติธรรมนั้นเป็นแต่ความเห็นของบุคลบางพวกดังนี้ ตรงกันข้ามจะเอาเป็นยุติไม่ได้
ข้อสังเกต ประเด็นวิจารณ์ต่อแนวความคิดต่อปัญหา “รัฏฐาธิปัตย์” อยู่ที่เรื่อง ข้อวิตกในอำนาจที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งอาจนำไปการออกกฎหมายโดยไม่มีขอบเขตจำกัด ภายใต้แนวคิดที่เน้นแต่เรื่องความมั่นคงหรือความมีวินัยของสังคมเท่านั้น จุดบกพร่องสำคัญยังอยู่ที่ไม่มีการแยกแยะให้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่าง “รัฏฐาธิปัตย์ถูกต้องตามกฎหมาย” (De Jure Sovereignty) และ “รัฏฐาธิปัตย์ในสถานที่เป็นจริง” (De Facto Sovereignty) ซึ่งอาจหมายถึงผู้ที่ขึ้นมามีอำนาจในการปกครองแผ่นดิน โดยใช้อำนาจและบังคับผู้อื่นให้เคารพเชื่อฟังตน ไม่ว่าโดยแบบการปฏิวัติหรือการรัฐประหาร
ข้อวิตกต่อเรื่องลักษณะของอำนาจทางการเมืองของรัฐาธิปัตย์จึงทำให้มีผู้วิจารณ์ว่า ทฤษฎีกฎหมายดังกล่าว (ปฏิฐานนิยม) มองกฎหมายในแง่แบบพิธีเก่านั้นหรือมองกฎหมายเป็นเพียงคำสั่งคำบังคับของผู้มีอำนาจอย่างเดียวโดยมิได้คำนึงถึงประเด็นมูลฐานของกฎหมายในแง่ของความตกลงยินยอมของผู้ปกครองและผู้ภายใต้ปกครอง โดยนัยนี้กฎหมายจึงกลายเป็น “ยานพาหนะที่สามารถบรรทุกสินค้าใด ๆ ก็ได้กฎหมายที่มีลักษณะกดขี่และไม่ยุติธรรมก็ใช้บังคับได้สมบูรณ์เช่นเดี่ยวกับกฎหมายที่ดีที่สุด”
นอกจากนี้ในวิจารณ์ดังกล่าวยังหนุนรับข้อวิจารณ์ในแง่หลักการทางความคิดเรื่องแยกกฎหมายออกจากศีลธรรมหรือความยุติธรรม (ในทำนอง “อย่าคิดเอากฎหมายไปปนกับความดีความชั่วหรือความยุติธรรม”) ซึ่งก็มีผู้มองว่าเป็นแนวคิดเชิงเครื่องมือนำไปสู่ระบบเผด็จการ
อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องน่าคิดอยู่มากต่อความสมจริงในประเด็นข้อวิจารณ์ทางการเมืองต่อทฤษฎีคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ ภายหลังที่มีการแพร่หลายของทฤษฎีนี้มากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งตามมาเมื่อการปฏิวัติรัฐประหารหรือการยื้อแย่งการเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์เป็นระลอกๆ ปัญหาเรื่องประกาศหรือคำสั่งคณะปฏิวัติในฐานะที่เป็น “คำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์” ได้กลายเป็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง
ข้อถกเถียงในประเด็นดังกล่าว คงต้องมีการวิเคราะห์กันอย่างจริงจังอย่างไรก็ตามที่จุดนี้เมื่อกล่าวถึงการเผยแพร่คำสอนในปรัชญากฎหมายกฎหมายตะวันตก ของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ โอรสในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า)ในยุคแห่งการปฏิรูปกฎหมายและบ้านเมือง ถึงแม้ทฤษฎีคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์จะได้รับการอธิบายสืบทอดต่อ ๆ กันมา หากทั้งนี้ในเวลาเดียวกันก็คงมิได้หมายถึงสาปสูญหมดความสำคัญของปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยมเสียเลยเพราะธรรมนิยมหรือกฎหมายพุทธนิยมยังมีความผูกติดกับแนวคิดปฏิฐานนิยมอยู่บ้าง


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts